วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

PANG

ฤ*-* http://www.oknation.net/blog/nangsopitara/2009/09/04/entry- 


  
นางสาวศิรประภา หอมจันทร์ศรี
ชื่อเล่นๆ...แป้ง
 เกิดที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
 เมื่วันที่29เมษายน2535
 ปี วอก 















อยุธยาเมืองเก่า
มล.ขาบ กุญชร ณ อยุธยา
อยุธยา เมืองเก่าของเราแต่ก่อน                     
จิตใจอาวรณ์ มาเล่า สู่กันฟัง
อยุธยา แต่ก่อน นี้ ยัง                                   
เป็นดังเมืองทอง ของพี่น้อง เราพงศ์ไทย
เดี๋ยว นี้ ซิเป็น เมือง เก่า                               
ชาวไทยแสนเศร้า ถูกข้าศึกรุกราน
ชาว ไทย ทุกคนหัวใจร้าวราน                   
ข้าศึกเผาผลาญ แหลก ราญ วอด วาย
เรา ชน ชั้นหลังฟังแล้วเศร้าใจ                       
อนุสรณ์ เตือนให้ ชาวไทยคงมั่น
 
สมัคร สมาน ร่วมใจกันสามัคคี                        
คงจะไม่มี ใครกล้า ราวีชาติไทย



บทความในสมัยกรุงศรีอยุธยา อาณาจักรที่รุ่งเรืองที่สุดอีกยุคสมัยหนึ่งของไทยเรา พบว่า มีการตราบทลงโทษขั้นรุนแรงที่สุดคือ โทษประหารชีวิตเอาไว้ในพระไอยการกระบถศึก ซึ่งเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 และมีการแก้ไขเพิ่มเติมในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก่อนจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมอีกครั้งในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ แต่กฎหมายฉบับนี้มิได้มีการแก้ไขในบทลงโทษความผิดขั้นประหารชีวิตและวิธีการ ประหารชีวิตเลยแม้แต่น้อย คือยังคงลักษณะเดิมไว้แต่ครั้งการตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ทุกประการ

วิธีการประหารชีวิตตามพระไอยการกระบถศึก บันทึกและอธิบายเอาไว้อย่างละเอียดถึงวิธีการลงโทษประหาร 21 วิธีหรือ 21 สถาน ดังนี้

- สถาน 1 คือ ให้ต่อยกระบานศีศะ (กบาลศีรษะ) เลิกออก (เปิดออก) เสียแล้ว เอาคีมคีบก้อนเหล็กแดงใหญ่ใส่ลงไปในมันสะหมอง (มันสมอง) ศีศะพลุ่งฟู่ขึ้นดั่งม่อ (หม้อ) เคี่ยวน้ำส้มพะอูม

- สถาน 2 คือ ให้ตัดแต่หนังจำระ (จาก) เบื้องหน้าถึงไพรปากเบื้องบนทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงเกลียวคอชายผมเบื้องหลังเป็นกำหนด (หนังบริเวณคอถึงท้ายทอย) แล้วให้มุ่นกระหมวดผมเข้าทั้งสิ้น (ม้วนเข้าหากัน) เอาท่อนไม้สอดเข้าข้างละคน โยกคลอนสั่นเพิกหนังทั้งผมนั้นออกเสียแล้วเอากรวดทรายหยาบขัดกระบานศีศะชำระ ให้ขาวเหมือนพรรณศรีสังข์

- สถาน 3 คือ ให้เอาขอเกี่ยวปากให้อ้าไว้ แล้ให้ตามประทีบ (ดวงไฟ) ไว้ในปาก ไนยหนึ่ง (นัยหนึ่ง) เอาปากสิวอันคมนั้นแสะแหวะผ่าปากจนหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้าง แล้วเอาขอเกี่ยวให้อ้าปากไว้ให้โลหิตไหลออกเต็มปาก

- สถาน 4 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันให้ทั่วร่างกายแล้วเอาเพลิงจุด

- สถาน 5 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันนิ้วทั้งสิบนิ้วแล้วเอาเพลิงจุด

- สถาน 6 คือ เชือดเนื้อให้เป็นแรงเป็นริ้วอย่าให้ขาดจากกัน ตั้งแต่ใต้คอลงไปถึงข้อเท้าแล้วเอาเชือกผูกจำ ให้เดินเหยียบริ้วเนื้อริ้วหนังแห่งตน ให้ฉุดคร่าตีจำให้เดินไปกว่าจะตาย

- สถาน 7 คือ เชือดเนื้อให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร่งเป็นริ้ว ตั้งแต่ใต้คอลงมาถึงเอวและให้เชือดตั้งแต่เอวให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร้งเป็น ริ้วลงมาถึงข้อเท้ากระทำหนังเบื้องบนให้คลุมลงมาเหมือนนุ่งผ้า

- สถาน 8 คือ ให้เอาห่วงเหล็กสวมข้อศอกทั้งสองข้าง ข้อเข่าทั้งสองข้างให้มั่นแล้วเอาหลักสอดในวงเหล็กแย่งขึงตรึงลงไว้กับแผ่น ดินอย่าให้ไหวตัวได้ แล้วเอาเพลิงรน (ลน) ให้รอบตัวจนกว่าจะตาย

- สถาน 9 คือ ให้เอาเบ็ดใหญ่ที่มีคมสองข้างเกี่ยวทั่วร่างเพิก (เปิด) หนังเนื้อและเอ็นน้อยใหญ่ให้หลุดขาดออกมาจนกว่าจะตาย

- สถาน10 คือ ให้เอามีดที่คมเชือดเนื้อให้ตกออกจากกายแต่ทีละตำลึง(นำเนื้อมาชั่งให้ได้ น้ำหนักหนึ่งตำลึง:มาตราวัดสมัยโบราณ) จนกว่าจะสิ้นมังสา (เนื้อ)

- สถาน 11 คือ ให้แล่สับทั่วร่างแล้ว เอาแปรงหวีชุบน้ำแสบกรีดครูดขูดเสาะหนังและเนื้อแลเอ็นน้อยใหญ่ให้ลอกออกให้ สิ้นให้อยู่แต่ร่างกระดูก

- สถาน 12 คือ ให้นอนลงโดยข้างๆ หนึ่งแล้วให้เอาหลาวเหล็กตอกลงไปโดยช่องหูให้แน่นกับแผ่นดินแล้วจับขาทั้ง สองข้างหมุนเวียนไปดังบุคคลทำบังเวียน (เวียนเทียน)

- สถาน 13 คือ ทำมิให้หนังพังหนังขาด แล้วเอาลูกสีลา (ลูกหิน) บดทุกกระดูกให้แหลกย่อย แล้วรวบผมเข้าทั้งสิ้น ยกขึ้นหย่อนลงกระทำให้เนื้อเป็นกองเป็นลอม
แล้วพับห่อเนื้อหนังกับทั้งกระดูกนั้นทอดวางไว้ดั่งตั่งอันทำด้วยฟางซึ่งเอาไว้เช็ดเท้า

- สถาน 14 คือ ให้เคี่ยวน้ำมันให้เดือดพลุ่งพล่าน แล้วลาดสาดลงมาแต่ศีศะ (ศีรษะ) จนกว่าจะตาย

- สถาน 15 คือ ให้กักขังสุนัขร้ายทั้งหลายไว้ อดอาหารหลายวันให้เต็มอยากแล้วปล่อยให้กัดทึ้งเนื้อหนังกินให้เหลือแต่ร่างกระดูกเปล่า

- สถาน 16 คือ ให้เอาขวานผ่าอกทั้งเป็นแหกออกดั่งโครงเนื้อ

- สถาน 17 คือ ให้แทงด้วยหอกทีละน้อยๆ จนกว่าจะตาย

- สถาน 18 คือ ให้ขุดหลุมฝังเพียงเอว แล้วเอาฟางปกลงคลุมร่างก่อนคลอกด้วยเพลิงพอหนังไหม้แล้วไถด้วยไถเหล็ก ให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่เป็นริ้วน้อยริ้วใหญ่

- สถาน 19 คือ ให้เชือดเนื้อล่ำออกทอดด้วยน้ำมัน เหมือนทอดขนมให้กินเนื้อตัวเองจนกว่าจะตาย

- สถาน 20 คือ ให้ตีด้วยตะบองสั้นตะบองยาวจนกว่าจะตาย

- สถาน 21 คือ ตีด้วยหวายที่มีหนามจนกว่าจะตาย

 (อ่านแล้วน่ากลัวอ่ะ)


แต่มาโตที่สุรินทร์
เพลงมนต์สุรินทร์
คำร้อง - วิชัย (ธาตรี) โกกิลกนิษฐ
ทำนอง - เอื้อ สุนทรสนาน
 
โอ้สุรินทร์ สมถิ่นองค์อินทร์สร้างสรรค์
สมแดนสวรรค์ สมแดนที่มั่นรวมใจ
ชาวสุรินทร์ น้ำใจไหลรินรักใคร่
เชื้อชาติทางใด ล้วนไทย เหมือนกันทั้งสิ้น
ระบือทั่วในโลกา นามสมญา ว่าเมืองช้าง
เมืองเด่นหลายทาง เมืองสำอาง คือสุรินทร์
ดินแดน สมบูรณ์ด้วยศิลป์
ปราสาทงาม นามระบิล เมืองสุรินทร์มีมานาน
ทั่วสุรินทร์ ทุกถิ่นเพลินตา เพลินใจ
แม้นท่องเที่ยวไป แล้วคงเป็น ได้ชื่นบาน
เรือมอันเร เสียงมนต์ของเพลงพื้นบ้าน
พร้อมกล้อมวิญญาณ์ สานความรักกันมิหน่าย
แล้วเราเล่า เราเป็นใคร เราสมใจที่สุรินทร์
เมืองที่สมจินต์ ยามคะนึง ตรึงไม่วาย
รำพัน ฝันเตือนไม่หาย
มนต์สุรินทร์ ยังมิคลาย ยังกระจายในอารมณ์
   
เป็นจังหวัดในภาคอีสานตอนล่าง เป็นชุมชนเก่าแก่ตั้งแต่สมัยขอม แบ่งการปกครองเป็นอำเภอต่าง ๆ อำเภอเมืองสุรินทร์ อำเภอชุมพลบุรี อำเภอท่าตูม อำเภอจอมพระ อำเภอปราสาท อำเภอกาบเชิง อำเภอรัตนบุรี อำเภอสนม อำเภอศรีขรภูมิ อำเภอสังขะ อำเภอลำดวน อำเภอบัวเชต อำเภอสำโรงทาบ
  • ทิศเหนือ ติดต่อกับ จังหวัดร้อยเอ็ด และมหาสารคาม 
  • ทิศใต้ ติดต่อกับ ประเทศกัมพูชาประชาธิปไตย
  • ทิศตะวันออก ติดต่อกับ จังหวัดศรีสะเกษ 
  • ทิศตะวันตก ติดต่อกับ จังหวัดบุรีรัมย์

6 ความคิดเห็น:

  1. ว้าวๆ อยากปายสุรินทร์จัง

    รูปสวยดีนะ

    ตอบลบ
  2. เยอะแท้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    เยอะด้ายโล้อ่ะ

    ตอบลบ
  3. ได้ข่าวว่าแกจะกลับบ้านนี่นา ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ

    ตอบลบ
  4. กิี๊ฟมาเลย เดี๋ยวพาไป

    โยเค้าก๊อปมาทั้งนั้นแหละ

    ชอบภาพแรกอ่ะ

    ตอบลบ
  5. สวยๆๆ แต่ขี้เกียจอ่านอ่ะ เยอะเกิน 55

    ตอบลบ
  6. อยากกลับบ้านอ่ะ หิวข้าวด้วย ฮ่าๆๆๆๆ

    ตอบลบ